โพรไบโอติก เพื่อนตัวเล็ก ที่ประโยชน์ไม่เล็ก

เนื้อหา
จุลินทรีย์ตัวดี เพื่อนแท้ มาเฟียใหญ่ประจำร่างกาย
-
- ในร่างกายของเรามีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กระจายตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิว ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ไปจนถึงช่องคลอด มีทั้งตัวที่น่ารัก และไม่น่ารักปะปนกันไป โดยประชากรส่วนใหญ่คือแบคทีเรีย ถ้าเป็นแบคทีเรียประจำถิ่น หรือ แบคทีเรียตัวดี เราจะรู้จักกันในนาม “โพรไบโอติก(Probiotics)” แต่จริงๆแล้วสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆในร่างกายของเราไม่ได้มีแค่แบคทีเรียเท่านั้น มันยังมีเชื้อไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว อีกด้วย ดังนั้นถ้าจะเรียกให้ถูกควรใช้คำว่า ไมโครไบโอต้า(Microbiota) โดยถ้านำจำนวนของไมโครไบโอต้าทั้งหมดในร่างกายมาชั่งรวมกัน พบว่ามีน้ำหนักเกือบ 2 กิโลกรัม หรือ เกือบเท่ากับขนาดสมองของมนุษย์เลยทีเดียว
-
- จุลินทรีย์ที่ดีจะช่วยควบคุมสมดุลย์ในร่างกายให้มีสุขภาพดีและปราศจากโรค โดยมีหน้าที่หลัก คือ คอยยึดเกาะตามผนังเซลล์ของอวัยวะต่างๆที่มันอาศัยอยู่ เพื่อไม่ให้เชื้อก่อโรคมารุกราน ช่วยย่อยใยอาหารให้กลายเป็นกรดไขมันสายสั้น ที่เป็นอาหารของผนังลำไส้ ทำให้ลำไส้แข็งแรงไม่ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ไปจนถึงการกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย เป็นต้น
-
- ในปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่า จุลินทรีย์ตัวดีหลายๆสายพันธุ์สามารถป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อ หรือโรคที่เกิดจากความผิดปกติต่างๆของร่างกาย ช่วยลดความรุนแรงหรือลดระยะเวลาของการเป็นโรคได้ โดยพบว่าการมีจำนวนจุลินทรีย์ตัวดีในลำไส้ลดลงสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้ หอบหืด อ้วน ผิวหนังอักเสบ แผลเรื้อรัง หรือ ผิวหนังอักเสบ
-
- ลำไส้ เป็นอวัยวะที่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมากที่สุด แต่มักถูกละเลย ลำไส้เป็นทั้งสมองที่สองของร่างกาย เนื่องจากมันมีระบบสั่งการการทำงานได้ด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านสมอง และ เป็นหน่วยสร้างภูมิต้านทาน โดยพบว่า 70% ของเซลล์ภูมิต้านทานอยู่ที่ลำไส้ งานวิจัยเมื่อไม่นานนี้ ระบุว่า การมีปัญหากระเพาะและลำไส้ทำให้มีโอกาสที่จะเป็นโรคต่างๆ ง่ายขึ้นด้วย เช่น ไข้หวัด การที่ร่างกายมีสมดุลย์จุลินทรีย์ที่ดี จะทำให้ลำไส้แข็งแรง และเมื่อลำไส้แข็งแรงก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า “สุขภาพดี เริ่มต้นที่ลำไส้”
-
- Probiotics ควรกินตอนท้องว่างจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหาร ยกเว้นหาก Probiotics นั้นจะสามารถทนต่อกรดในกระเพาะอาหารได้ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมีเทคโนโลยีของเม็ดแคปซูลที่สามารถช่วยป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อให้ไปแตกตัวส่ง Probiotics เหล่านั้นให้ถึงลำไส้ซึ่งมีความเป็นด่างได้อย่างปลอดภัย
ทำความรู้จักเพื่อนให้ดี เพื่อนก็จะอยู่กับเราไปอีกนาน
- ต่างถิ่น ต่างนิสัย
- ต่างถิ่น คือ ถ้าแหล่งอาศัยดั้งเดิมในร่างกายของแต่ละสายพันธุ์อยู่บริเวณใด ก็จะมีประโยชน์สำคัญต่ออวัยวะนั้นๆได้ดี เช่น Lactobacillus เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ช่องคลอดและลำไส้, Staphylococcus epidermidis เป็นเจ้าพ่อคุมผิว, Bifidobacteria มักพบมากที่ลำไส้ คอยทำหน้าที่สารพัดประโยชน์ เช่น ช่วยหมักอาหารเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน, ปรับสมดุลภูมิต้านทาน เป็นต้น ดังนั้นเวลาเราจะเลือกรับประทานโปรไบโอติกส์ เราควรเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะกับบริเวณที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพเรา
- ต่างนิสัย เช่น Bacillus coagulans เป็นสายพันธุ์ที่ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี ทนได้แม้แต่สภาวะที่เป็นกรด ด่าง หรืออุณหภูมิสูงๆ จึงนิยมนำมาใช้ในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร หรือ เชื้อ Lactobacillus rhamnosus GG เป็นสายพันธุ์ที่เจริญเติบโตเป็นโคโลนีในลำไส้ได้ดี ก็จะคอยต้านการติดเชื้อในลำไส้และช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิต้านทานได้ดี สามารถนำมาใช้รักษาอาการท้องเสียหรือภูมิแพ้ได้ ถ้านำเชื้อ Lactobacillus rhamnosus GG ไปรักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ก็อาจจะไม่ได้ผล เป็นต้น ดังนั้นการรับประทานโปรไบโอติกส์ที่ดี ควรจะรับประทานให้หลากหลายสายพันธุ์ เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพได้หลากหลายด้าน
2. พาเพื่อนเข้าบ้านให้ปลอดภัย
กว่าที่โพรไบโอติกจะเข้าไปถึงที่หมาย(โดยส่วนใหญ่คือบริเวณลำไส้) จะต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรดจากกระเพาะอาหาร ด่างจากน้ำดี หรืออุณหภูมิที่สูงระหว่างการขนส่งหรือการเก็บรักษา ถ้าเราเลือกรับประทานสายพันธุ์ที่ไม่ทนต่อสภาพแวดล้อมเหล่านี้ หรือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแคปซูลที่ดีในการป้องกันการทำลายของกรด ด่าง หรือความชื้น ก็คงไม่ต่างอะไรจากการกินผงแป้งเปล่าๆ
3. ทำความสะอาดบ้านต้อนรับเพื่อน
ใครจะไปอยากอยู่ ถ้าบ้านสกปรกโพรไบโอติกก็เช่นกัน ผนังลำไส้ของเราจะมีส่วนของวิลไล ที่มีลักษณะคล้ายนิ้วมือยื่นออกมาจากผนังลำไส้และจะมีเมือกลื่นๆเกาะติดบริเวณนั้น ซึ่งเป็นที่ยึดเกาะของจุลินทรีย์ตัวดีต่างๆ ถ้าเราไม่ทำความสะอาดลำไส้ให้ดี หรือ คนที่ท้องผูกบ่อยๆ ก็จะมีคราบตะกรันเกาะติดบริเวณนั้น ไม่เหลือพื้นที่ให้จุลินทรีย์ตัวดียึดเกาะและเจริญเติบโต ดังนั้นการรับประทานโพรไบโอติกให้ได้ผลดี ควรจะต้องทำความสะอาดลำไส้ให้สะอาดก่อน เช่น การดีท๊อกซ์ลำไส้ การทานอาหารที่มีกากใยสูง เป็นต้น เมื่อบ้านน่าอยู่ คู่หูจุลินทรีย์ก็จะเจริญเติบโตกับเราได้ดีขึ้น
4. เลี้ยงอาหารเพื่อนให้อิ่ม
การรับประทานโพรไบโอติกให้ได้ผลดี ก็ควรที่จะรับประทานอาหารเลี้ยงเชื้อ หรือ พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) เข้าไปด้วย พรีไบโอติกส์ในธรรมชาติ เช่น กล้วย แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่าย บล็อคโคลี ธัญพืชต่างๆ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่ดีควรจะมีทั้งเชื้อและอาหารเลี้ยงเชื้อร่วมกัน หรือเรียกว่า “ซินไบโอติค Synbiotics”
5. รักเพื่อน ต้องไม่ทำร้ายเพื่อน
ถ้าเราเลี้ยงดูเพื่อนเราอย่างดี แล้วอยู่ๆก็ส่งอาวุธไปทำลายล้าง ก็ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด อาวุธที่เรามักเอาไปทำร้ายเพื่อนโดยไม่รู้ตัว เช่น การรับประทานยาปฏิชีวนะบ่อยๆ มันจะทำลายล้างแบคทีเรียอย่างไม่เลือกหน้า ทั้งแบคทีเรียตัวร้ายและแบคทีเรียตัวดี, ยาลดกรด จะทำให้สภาพความเป็นกรด-ด่างในทางเดินอาหารเสียไป ก็สามารถรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ได้ หรือ การสวนล้างช่องคลอด ที่ทำให้เชื้อ Lactobacillus อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะในการเจริญเติบโต ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อในช่องคลอดได้ง่าย เป็นต้น ถ้าหากเราหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ ก็ควรจะหาโพรไบโอติกรับประทาน เพื่อให้สมดุลย์จุลินทรีย์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
6. งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่โพรไบโอติก ดังนั้นการรับประทานโพรไบโอติกให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี คือ ควรรับประทานให้ต่อเนื่องและยาวนานพอ เพื่อชดเชยส่วนที่ตายไปในแต่ละวัน
ตัวอย่างเชื้อโพรไบโอติกที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
¤ Bacillus coagulans ปรับลำไส้ เพิ่มภูมิต้านทาน

โพรไบโอติกสายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือสามารถสร้าง endospore เหมือนเกราะคอยปกป้องตัวเอง ทำให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ เช่น มีอัตราการรอดชีวิตสูงแม้เก็บที่อุณหภูมิห้องนานถึง 3 ปี, ทนอุณหภูมิสูงได้ถึง 105 องศาเซลเซียส ทำให้ไม่ถูกทำลายระหว่างกระบวนการผลิตและการขนส่ง, ทนต่อสภาวะกรดในกระเพาะอาหาร และสภาวะของเกลือน้ำดีได้ ทำให้มีปริมาณเชื้อที่เพียงพอที่จะไปถึงลำไส้ใหญ่และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย ประโยชน์ของ B.Coagulans เช่น
- ท้องผูก โดยพบว่าทำให้อุจจาระมีลักษณะที่ดีขึ้น ลดกลิ่น เพิ่มจำนวนครั้งในการขับถ่ายอุจจาระ โดยพบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองมีอัตราการตอบสนองถึง 70% เมื่อรับประทาน Bacillus coagulans ขนาด 300-750 M CFU/วัน เป็นระยะเวลา 2-10 วัน
- ลำไส้แปรปรวน จากการศึกษาพบว่า Bacillus coagulans สามารถลดอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 12 สัปดาห์
- ท้องเสีย จากการศึกษาพบว่า Bacillus coagulans สามารถลดอาการท้องเสียฉับพลัน ท้องเสียจากการติดเชื้อโรต้าไวรัส และท้องเสียจากการรับประทานยาปฏิชีวนะ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อรับประทาน Bacillus coagulans ขนาด 100-600 M CFU/วัน เป็นระยะเวลา 2-12 วัน
- ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ต่างๆในร่างกาย
- ช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย
- ช่วยลดสารก่อการอักเสบ โดยมีการศึกษาในหนู พบว่า Bacillus coagulans สามารถควบคุม pro-inflammatory cytokines จึงช่วยลดการอักเสบในหนูที่เป็นโรครูมาตอยได้
- ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีการศึกษาพบว่า Bacillus coagulans สามารถลดการเจริญของเซลล์มะเร็งในมนุษย์ได้ โดยไปชักนำการเกิดการตายของเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่ (apoptosis)
- ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น ช่วยลดคอเลสเตอรอล, ช่วยรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด, ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ coli, ช่วยลดอาการ lactose intolerance
¤ Lactobacillus rhamnosus GG (LGG) ภูมิแพ้ ผื่นผิวหนัง

โพรไบโอติกสายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือ เจริญเติบโตได้เป็นกลุ่มๆ ทำให้สามารถยึดเกาะผนังลำไส้ได้ดี ไม่หลุดง่าย เป็นสายพันธุ์ที่เด่นในเรื่องของภูมิแพ้ต่างๆ โดยมีการศึกษาถึงความปลอดภัย พบว่าสามารถรับประทานได้ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการเกิดแพ้ผิวหนังในเด็ก
มีการศึกษาโดยการให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติการเป็นโรค Atopic Dermatitis หรือโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รับประทาน LGG จำนวน 10,000 M CFU/วัน เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ พบว่าลดอุบัติการณ์การเกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเมื่อเด็กอายุครบ 2 ปี, 4 ปี, 7 ปี ได้ 49%, 43% และ 36% ตามลำดับ
¤ Lactobacillus acidophilus แพ้น้ำตาลแลคโตส

โพรไบโอติกสายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือ ตัวมันสามารถผลิตกรด lactic ได้ โดยการไปผลิตเอนไซม์ lactase ให้ไปย่อยน้ำตาล lactose จากน้ำตาลและนม จนได้เป็นกรด lactic ออกมา ทำให้สามารถใช้ในการบรรเทาอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส (Lactose intolerance) หรือที่เรียกว่า “แพ้นม” ได้
มีการศึกษาในผู้ที่มีภาวะแพ้น้ำตาลแลคโตส โดยให้รับประทาน Lactobacillus acidophilus เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าสามารถบรรเทาอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส เช่น ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาว่า Lactobacillus acidophilus สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ จากการศึกษาในเด็กที่มีอายุ 3-5 ปี จำนวน 326 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่า สามารถลดอุบัติการณ์การเป็นไข้ลงได้ 73%, อาการไอลดลง 62% และลดการใช้ยาปฏิชีวนะลงได้ 84%
¤ Bifidobacterium longum (B. longum)

พบในน้ำนมแม่
เป็นจุลินทรีย์ตัวดี มักอาศัยอยู่บริเวณทางเดินอาหาร และเป็นแบคทีเรียที่มักพบในน้ำนมแม่ เป็นสายพันธุ์ที่มีประโยชน์หลายด้าน เช่น
- ลำไส้ ช่วยเรื่องระบบลำไส้ ปรับpH ในทางเดินอาหารให้เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลทางเดินอาหารให้แข็งแรง, ต้านการอักเสบจากโรคโครห์น (โรคที่เกิดการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินอาหารหรือลำไส้)และ โรคลำไส้อักเสบ, ลดอาการโคลิกในเด็กทารก เป็นต้น
- ภูมิแพ้ เพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันการติดเชื้อต่างๆในร่างกาย, ลดอาการภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ต่างๆในร่างกาย
- นอกจากนี้ ยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน B ที่มีผลในการลดระดับ homocysteine ในเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต และมีงานวิจัยพบว่า longum สามารถลดภาวะซึมเศร้าและลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลได้ด้วย
¤ Bifidobacterium lactis (B. lactis)

-
- โพรไบโอติกสายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือ เป็นสายพันธุ์ที่ทนต่อกรดและน้ำดีในทางเดินอาหาร ทำให้สามารถมีชีวิตรอดถึงลำไส้ มักพบได้ในเด็กสุขภาพดีที่ดื่มนมแม่ ช่วยย่อยอาหาร ลดการอักเสบ ต้านการติดเชื้อ และมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มภูมิต้านทาน
-
- LGG และ B. lactis สามารถจับกับไวรัสหลายชนิด เช่น โรต้าไวรัส Rotavirus ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
-
- นอกจากนี้มีการศึกษาที่พบว่า B. lactis สามารถป้องกันภาวะอ้วนหลังคลอดได้ โดยพบว่าเมื่อให้คุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสแรกรับประทาน LGG และ B. Lactis ไปจนถึงหลังคลอด 6 เดือน พบภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มที่รับประทานโพรไบโอติก 25% ในขณะกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานโพรไบโอติกมีภาวะอ้วนลงพุงถึง 43%
—————————————————————————————————————————————
แหล่งอ้างอิง :
- หนังสือ Microbiota อวัยวะที่ถูกลืม โดย หมอผิง พญ. ธิดาดานต์ รุจิพัฒนกุล
- Braun, Lesley. Herbs and Natural Supplements, Volume 2. Elsevier Health Sciences APAC. Kindle Edition.
- Probiotics. Khow-ean U. Department of Internal Medicine, Faculty of Medicine, Prince of Songkla University, Hat Yai, Songkhla, 90110, Thailand Songkla Med J 2006;24(4):315-323
ผลิตภัณฑ์ที่่แนะนำ
-
BIOTA 5
Drug Store฿1,090.00Original price was: ฿1,090.00.฿890.00Current price is: ฿890.00.หยิบใส่ตะกร้าให้คะแนน 0 ตั้งแต่ 1-5 คะแนน